อุปกรณ์ร้านกาแฟมีอะไรบ้าง ที่คนอยากเปิดร้านกาแฟควรต้องรู้

เพื่อนๆเคยได้ยินประโยคที่ว่า "วงการกาแฟ ใครเข้ามาแล้วออกยาก หรือบางทีอาจจะไม่มีทางออก" บ้างมั้ยคะ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ที่เริ่มต้นจากคนไม่ดื่มกาแฟ มาเป็นเปิดใจลองชิม แล้วก็หลงเสน่ห์ไปกับกลิ่น รสชาติที่หลากหลายของแต่ละกระบวนการแปรรูปและแหล่งที่มา จนชื่นชอบจริงจัง และได้เข้ามาทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ในตำแหน่ง Coffee Bard ประจำ Nespresso สาขาเชียงใหม่ เมืองที่ขึ้นชื่อทั้งแหล่งผลิตกาแฟและเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงมากมาย
จากประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ผ่านมานั้น สิ่งสำคัญนอกเหนือจากตัวกาแฟเองแล้ว แน่นอนว่าเทคนิคการชงของแต่ละร้าน รวมไปถึงบรรยากาศที่ได้ดื่มด่ำรสชาติกาแฟในร้านต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้โลกของกาแฟน่าค้นหาและสนุกยิ่งขึ้นไปอีก
เชื่อว่าหลาย ๆ คนพอได้ตกหลุมรักกาแฟแล้ว ก็อยากจะทำงานที่ได้ใกล้ชิดกับสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ อาทิเช่น เป็นบาริสต้า หรือเจ้าของร้านกาแฟ มีพื้นที่ชงกาแฟในแบบของตัวเองให้ผู้อื่นได้มาร่วมสัมผัสรสชาติ แบ่งปันเรื่องราว และเปิดโลกกาแฟผ่านร้านกาแฟของตัวเองบ้างใช่มั้ยคะ

อุปกรณ์ร้านกาแฟ มีอะไรบ้าง?
การจะเตรียมตัวเปิดร้านขายกาแฟนั้น "อุปกรณ์ร้านกาแฟ มีอะไรบ้าง?" น่าจะเป็นคำถามแรก ๆ ที่ว่าที่เจ้าของร้านกาแฟส่วนใหญ่ต้องคิดและทำการบ้านอย่างหนัก เดี๋ยวเราจะมาช่วยเช็คลิสต์ไปด้วยกัน
ระหว่างนี้เราอยากชวนให้เพื่อน ๆ ลองนึกภาพร้านกาแฟในแบบที่เราอยากเปิด ดูว่าอยากจะให้เป็นร้านในรูปแบบไหน ทำเลที่ตั้งและกลุ่มลูกค้าของเราจะเป็นใคร อยากนำเสนอกาแฟแบบ Speed Bar หรือ Slow Bar เพื่อที่เพื่อน ๆ จะได้ กำหนดงบประมาณ เลือกอุปกรณ์ขายกาแฟ ว่ามีอะไรบ้างที่จำเป็นและเหมาะสมกับร้านกาแฟของเรา มาเช็คลิสท์ อุปกรณ์ร้านกาแฟว่ามีอะไรบ้างกัน

1. เมล็ดกาแฟ
การจะเสิร์ฟเมนูกาแฟที่ถูกใจคนหมู่มาก ไม่เพียงอาศัยแค่ฝีมือของบาริสต้าอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ สายพันธุ์กาแฟที่นิยมใช้ในร้านกาแฟมีอยู่ 2 ชนิด
สายพันธุ์อาราบิก้า (Arabica)
กาแฟสายพันธุ์ยอดนิยมของโลก ขึ้นชื่อเรื่องความหอมละมุน รสชาติกลมกล่อม มีรสหวานและเปรี้ยวเล็กน้อย คาเฟอีนไม่สูงมาก แต่มีราคาที่ค่อนข้างสูง ในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟอาราบิก้าในพื้นที่ภาคเหนือ
สายพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
กาแฟที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากสายพันธุ์อาราบิก้า มีเอกลักษณ์ของกลิ่นที่ค่อนข้างรุนแรง มีความเข้มข้นและขมกว่า มีความเฟอีนสูง ราคาค่อนข้างต่ำ นิยมปลูกในแถบภาคใต้ของประเทศไทย
โดยกาแฟทั้งสองสายพันธุ์นี้จะมีเมล็ดกาแฟประเภท Specialty Coffee หรือกาแฟพิเศษที่เป็นกาแฟกลุ่มที่ได้รับการให้คะแนนที่สูงตามเกณฑ์จากสมาคมกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee Association หรือ SCA) ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้กับการสกัดกาแฟแบบ Slow Bar
ในส่วนของ Speed Bar ส่วนใหญ่ร้านกาแฟมักจะเลือกใช้เมล็ดกาแฟสูตรพิเศษของทางร้าน หรือที่เรียกว่า เมล็ดกาแฟแบบ House Blend เป็นการผสมผสานเมล็ดกาแฟจากสายพันธุ์ แหล่งเพาะปลูก และระดับการคั่วที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวให้กับร้าน ซึ่งมีข้อดีหลากหลาย ดังนี้
- - ได้รสชาติที่กลมกล่อม: เหมาะกับการชงเมนูกาแฟหลากหลาย เช่น กาแฟดำ กาแฟนมต่างๆ
- - ใช้งานได้ง่าย: เหมาะกับทั้งบาริสต้ามือใหม่และมืออาชีพ
- - สะท้อนตัวตนของทางร้าน: เมล็ดกาแฟ House Blend เปรียบเสมือนตัวแทนของร้าน บ่งบอกถึงรสนิยมและความตั้งใจของเจ้าของร้าน
- - ควบคุมคุณภาพ: ทางร้านสามารถควบคุมรสชาติและคุณภาพของกาแฟได้
- - ช่วยประหยัดต้นทุน: การสั่งซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณมากจะช่วยให้ได้ราคาที่ถูกลง

2. อุปกรณ์ชงกาแฟหน้าบาร์
อุปกรณ์สำหรับ Speed Bar
Speed Bar คือโซนกาแฟที่เน้นความเร็วในการสกัดช็อตเอสเพรสโซ่ เพื่อนำไปทำเมนูต่างๆ เช่น อเมริกาโน่ ลาเต้ คาปูชิโน่ เดอร์ตี้ และเมนูอื่นๆ ที่ใช้เอสเพรสโซ่ในการชง
- - กาน้ำ: ใช้สำหรับเตรียมน้ำร้อนเพื่อชงอเมริกาโน่และเมนูกาแฟที่ต้องผสมน้ำร้อน
- - เครื่องสกัดกาแฟเอสเพรสโซ่: เลือกรูปแบบหัวชงและยี่ห้อ ตามงบประมาณและขนาดของร้าน
- - อุปกรณ์ทำกาแฟแบบอื่น ๆ เช่น เครื่องชงกาแฟแคปซูล
- - เครื่องบดเมล็ดกาแฟแบบไฟฟ้า: หากที่ร้านใช้เมล็ดกาแฟ 2 แบบขึ้นไป ต้องแยกเครื่องบด ไม่ใช้ปนกัน
- - ที่กดกาแฟ (Tamper) และ ที่เกลี่ยกาแฟ (Coffee Distributor)
- - ก้านชง และ ตะแกรง (Filter Basket)
- - ตาชั่งแบบจับเวลา
- - เครื่องตีฟองนม
- - Pitcher หรือ เหยือกตีฟองนม (Milk Jug)
- - ช้อนตักกาแฟ
- - ที่วัดอุณหภูมิ
- - แก้วตวง และ ถ้วยตวง
อุปกรณ์สำหรับ Slow Bar
Slow Bar หรือ Craft Coffee Zone คือโซนชงกาแฟที่ใช้อุปกรณ์แตกต่างจาก Speed Bar โดยส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยฝีมือและแรงของคนชงในการกำหนดคุณภาพของกาแฟ ทำให้ใช้เวลาในการชงค่อนข้างนาน และมีขั้นตอนการชงที่มากกว่า
อุปกรณ์สำหรับทำ Filter Coffee หรือกาแฟดริป เช่น
- - ดริปเปอร์และกระดาษกรองดีไซน์ต่าง ๆ จะให้รสชาติและบอดี้กาแฟที่แตกต่างกัน
- - เหยือกกาแฟและเหยือกเสิร์ฟ
- - กาน้ำสำหรับดริปที่มีดีไซน์ตรงปลายปากของกาน้ำที่เหมาะสมกับการไหลของน้ำ ในรุ่นและยี่ห้อที่มีราคาสูงจะสามารถตั้งอุณหมภูมิได้ด้วย
- - เมล็ดกาแฟพิเศษ ที่คัดสรรมาเพื่อชงด้วยวิธีดริปโดยเฉพาะ ช่วยดึงรสชาติเฉพาะตัวของเมล็ดได้อย่างชัดเจน
- - อุปกรณ์สกัดกาแฟประเภท Manual Espresso Machine ก็ถือเป็น Slow Bar เช่นกัน อาทิเช่น Flair, Aram, Staresso และ Moka Pot
- - อุปกรณ์ทำกาแฟแบบอื่น ๆ เช่น AeroPress, Syphon หรือ French Press
- - เครื่องบดเมล็ดกาแฟ (แบบมือหมุน หรือแบบไฟฟ้า)
- - ตาชั่งแบบจับเวลา

3. น้ำ
รู้หรือไม่ว่า "น้ำ" เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดรสชาติกาแฟ มากถึง 96% เลยทีเดียว แม้จะมีเมล็ดกาแฟคุณภาพดีเพียงใด แต่หากน้ำที่ใช้ไม่เหมาะสม รสชาติก็จะไม่ออกมาดีอย่างที่ควรเป็น น้ำที่นำมาชงกาแฟต้องมีค่า pH และค่า TDS ที่เหมาะสม
- ค่า pH
คือค่าที่บอกความเป็นกรดและด่างของน้ำ ช่วงที่แนะนำ: 6.5 - 7.5 หากน้ำมีค่า pH ต่ำ หรือมีความเป็นกรดมาก จะส่งผลให้กาแฟมีรสเปรี้ยว และถ้าน้ำมีค่า pH สูง หรือมีความเป็นด่างมาก จะส่งผลให้กาแฟมีรสขม
br>- ค่า TDS หรือ Total Dissolved Solids
คือ ปริมาณสารแขวนลอยที่อยู่ในน้ำหรือปริมาณแร่ธาตุ และไอออนต่างๆ ค่า TDS นี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของรสชาติกาแฟแต่ละแก้ว ช่วงที่แนะนำ: กาแฟดริป: 125 - 175 ppm / กาแฟเอสเปรสโซ: 50 - 100 ppm หากน้ำมีค่า TDS ต่ำ จะส่งผลให้ กาแฟมีรสจืด และถ้าน้ำมีค่า TDS สูงจะส่งผลให้ กาแฟมีรสเค็ม เฝื่อน โดยร้านกาแฟสามารถควบคุมคุณภาพน้ำในร้านได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้เครื่องกรองน้ำ, การใช้น้ำ RO, การผสมน้ำยี่ห้อต่าง ๆ หรือการใช้ "ผงปรุงน้ำ" เข้ามาช่วยให้ได้รสชาติที่ต้องการ

4. วัตถุดิบและอุปกรณ์เสริมสำหรับชงเครื่องดื่ม
การมีเมนูนอกเหนือจากกาแฟ (Non Coffee Menu) ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่ไม่สามารถดื่มกาแฟได้ หรือต้องการเครื่องดื่มที่เหมาะกับช่วงเวลาต่างๆ ของวัน โดยวัตถุดิบที่จำเป็นมีดังนี้
- - น้ำเชื่อม, นมข้นหวาน หรือไซรัปกลิ่นต่าง ๆ
- - ซอสกลิ่นต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติพิเศษให้เครื่องดื่ม
- - ผงปั่น หรือ ผงเฟรปเป้ สำหรับเมนูเครื่องดื่มปั่น
- - ใบชา, ผงโกโก้, ผงมัทฉะ หรือผงชาอื่น ๆ
- - แปรงชงชาและถ้วยชงชา สำหรับร้านที่มีเมนูมัทฉะ
- - วัตถุดิบสำหรับตกแต่งเครื่องดื่ม เช่น โรสแมรี เลมอน มะนาว และผลไม้ตามฤดูกาล
5. อุปกรณ์สำหรับชงเมนูอื่น ๆ นอกจากกาแฟ
นอกจากจะเตรียมอุปกรณ์ชงกาแฟให้ครบถ้วนและพร้อมใช้งานแล้ว อุปกรณ์ร้านกาแฟอื่น ๆ ที่ใช้ชงเครื่องดื่มที่นอกเหนือจากกาแฟก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรใส่ใจ ซึ่งเจ้าของร้านกาแฟสามารถเตรียมอุปกรณ์ได้ ดังนี้
- - แปรงชงชาและถ้วยชงชา สำหรับร้านที่เสิร์ฟมัทฉะญี่ปุ่น
- - เครื่องปั่น
- - เครื่องแยกกากน้ำผลไม้
- - เครื่องทำนมถั่ว
- - ตู้น้ำแข็งเพื่อรักษาความสะอาด
- - ตู้แช่เบเกอรี

6. อุปกรณ์ทำความสะอาด
ความสะอาดเป็นหัวใจสำคัญของร้านกาแฟที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากไม่ดูแลความสะอาดให้ดี นอกจากจะส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้าไม่กลับมาใช้บริการอีกด้วย อุปกรณ์ทำความสะอาดที่จำเป็นมีดังนี้
- - ผ้ากันเปื้อน
- - ผ้าแยกใช้ตามจุดต่าง ๆ อาทิ ใช้เช็ดเครื่องชงกาแฟ, เช็ดด้ามชง, เช็ดก้านสตีมนม และเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ
- - แปรงปัดผงกาแฟ 3-4 ขนาด สำหรับทำความสะอาดจุดต่างๆ
- - ถังเคาะกากกาแฟ
- - ถุงมือกันความร้อนได้
- - ผงทำความสะอาด และแปรงทำความสะอาดหัวกรุ๊ปเครื่องชงเอสเพรสโซ่
- - ที่ล้างพิชเชอร์ หรือ ที่ล้างอุปกรณ์แรงดันสูง
- - ถังขยะแยกประเภทและถุงใส่ขยะ เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

7. ป้ายร้าน/ป้ายกระดานเมนู และเมนูร้าน
ตำแหน่งที่ตั้งป้ายร้าน เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้คนมองเห็น สะดุดตาและเลือกที่จะเดินเข้ามาร้านของเรา และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเมนูของร้าน ดีไซน์การออกแบบเมนูร้านส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสั่งเมนูของลุกค้า
หากมีเมนูที่ต้องการจะนำเสนอเป็นพิเศษหรือเป็น Signature ของร้าน การออกแบบให้โดดเด่นจะช่วยดึงดูดความสนใจและผลักดันยอดขายของเมนูนั้นได้เป็นอย่างดี

8. ตู้เย็น
ตู้เย็นคือผู้ช่วยสำคัญที่มักถูกมองข้ามในร้านกาแฟ ทำหน้าที่รักษาความสดใหม่ของนม ไซรัป และวัตถุดิบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของเครื่องดื่ม
เลือกตู้เย็นที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณการใช้งาน วางในตำแหน่งที่บาริสต้าเข้าถึงสะดวก และควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ ช่วยให้นมสดเย็นพอดีสำหรับตีฟองได้สวย และยืดอายุวัตถุดิบให้คงคุณภาพได้นานขึ้น

9. น้ำแข็ง/เครื่องทำน้ำแข็ง
ขนาดและดีไซน์ของน้ำแข็งก็มีส่วนสำคัญในการนำเสนอรสชาติและเมนูกาแฟของทางร้าน หากมีงบประมาณสามารถเลือกติดตั้งเครื่องทำน้ำแข็งไว้ที่ร้าน เพื่อความสะดวกและมั่นใจในคุณภาพของน้ำแข็งที่ทางร้านสามารถควบคุมความสะอาดและสุขอนามัยได้เอง หรือสั่งซื้อน้ำแข็งจากผู้ให้บริการในพื้นที่มาใส่ตู้แช่น้ำแข็งแบบรายวันก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยประหยัดงบประมาณในการลงทุน

10. ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ
ภาชนะไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ใส่เครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงรสชาติและสัมผัสความอร่อยของเครื่องดื่มได้อย่างเต็มที่ การเลือกภาชนะที่เหมาะสมจึงเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่ไม่ควรมองข้าม
- - แก้วสำหรับใช้เสิร์ฟในร้าน ควรเลือกแก้วปากบางที่มีความทนทานสูง เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสรสชาติได้ดี
- - แก้วสำหรับ Take Away ทั้งแบบเมนูเย็นและร้อน ควรเลือกแก้วที่ไม่มีกลิ่น แก้วย่อยสลายได้ หรือแก้วที่สามารถนำมารีไซเคิลได้
- - ฝาแก้วแบบใส่หลอด และแบบยกดื่ม
- - หลอดหรือขวดเล็กๆ สำหรับใส่ช็อตเอสเพรสโซ่แยก สำหรับลูกค้าที่ต้องการควบคุมการผสมกาแฟในเครื่องดื่มด้วยตัวเอง
- - กระดาษทิชชู่
- - ถุงเพื่อให้ลูกค้าหิ้วกลับ
การเลือกอุปกรณ์สำหรับ "เปิดร้านกาแฟ" ต้องเลือกจากอะไร?
หากคุณกำลังวางแผนจะเปิดร้านกาแฟ การเลือกอุปกรณ์ต้องพิจารณาทั้งคุณภาพและความทนทาน เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจคุณ
สิ่งที่ควรคำนึงถึง:
- - ปริมาณลูกค้าต่อวัน - ยิ่งมีลูกค้ามาก ยิ่งต้องการอุปกรณ์ที่ทนทานและทำงานได้เร็ว
- - งบประมาณเริ่มต้น - ลงทุนในสิ่งที่จำเป็นก่อน ค่อยๆ ขยายเพิ่มเติมในภายหลัง
- - ความสามารถในการดูแลรักษา - เลือกอุปกรณ์ที่ดูแลง่าย หากคุณเป็นมือใหม่
- - การมีศูนย์บริการและอะไหล่ในประเทศ - ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
อุปกรณ์ที่ควรมีขั้นต่ำ:
| รายการ | หมายเหตุ |
|---|---|
| เครื่องชงกาแฟ 1-2 หัว | สำหรับรองรับลูกค้าในช่วงเวลาเร่งด่วน เลือกขนาดตามประมาณการยอดขาย |
| เครื่องบดกาแฟคุณภาพสูง | ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อรสชาติกาแฟที่สม่ำเสมอ |
| เครื่องปั่น | จำเป็นสำหรับเมนูเย็นและเมนูปั่นต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย |
| ตู้แช่นมและวัตถุดิบ | ช่วยคงความสดใหม่ของวัตถุดิบ ส่งผลต่อคุณภาพเครื่องดื่ม |
| อุปกรณ์เสริม (Tamper, Pitcher ฯลฯ) | ช่วยให้การชงกาแฟมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น |
| ระบบชำระเงินและ POS | ช่วยจัดการคำสั่งซื้อ การชำระเงิน และการติดตามยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ |
| อุปกรณ์ทำความสะอาดเฉพาะ | ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องชงกาแฟและรักษาคุณภาพของรสชาติกาแฟ |
เมล็ดกาแฟ: ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม
แม้จะมีอุปกรณ์ดีแค่ไหน แต่หากใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพต่ำ รสชาติก็จะด้อยลงทันที ควรเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพดีที่เหมาะสมกับสไตล์ร้านของคุณ
- ประเภทของเมล็ดกาแฟหลัก:
- - Arabica: รสชาตินุ่ม หอม มีความเปรี้ยวคล้ายผลไม้ เหมาะสำหรับร้านที่เน้นคุณภาพ
- - Robusta: มีรสชาติขม เข้ม คาเฟอีนสูง ราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับเมนูที่เพิ่มนม น้ำตาล หรือไซรัป
- แหล่งที่มาที่ได้รับความนิยม:
- - ไทย: ดอยแม่สลอง, เชียงราย, น่าน - สนับสนุนเกษตรกรไทยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- - ลาตินอเมริกา: Brazil, Colombia - รสชาติกลมกล่อม มีความหวานเป็นธรรมชาติ
- - แอฟริกา: Ethiopia, Kenya - มีกลิ่นหอมเข้มข้น รสชาติซับซ้อน มีความเปรี้ยวโดดเด่น
ทางเลือกเพิ่มเติมที่น่าสนใจ:
- บริการเช่าเครื่องชงกาแฟ - ช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่
- อุปกรณ์ทำกาแฟสกัดเย็น - เพิ่มเมนูทางเลือกที่กำลังเป็นที่นิยม
- อุปกรณ์สำหรับ Latte Art - ช่วยสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้า
- เครื่องคั่วกาแฟขนาดเล็ก - สำหรับร้านที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์และคุณภาพเฉพาะตัว
เลือกลงทุนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจของคุณก่อน แล้วค่อยๆ ขยายเพิ่มเติมตามการเติบโตของร้าน โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าและแนวทางร้านที่คุณวางแผนไว้เป็นหลัก
หากลองเช็คลิสท์ดูแล้วมีรายการอุปกรณ์ร้านกาแฟที่เยอะแยะมากมายไปหมด ซึ่งเพื่อน ๆ มองว่าตัวเองยังเป็นมือใหม่ในการชงกาแฟ และต้องการเลือกอุปกรณ์ร้านกาแฟที่สามารถทำกาแฟได้สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ทักษะในการทำกาแฟสูงมากนัก เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลอาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเปิดร้านขายกาแฟ
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า Nespresso เรามีเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในภาคธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งมีดีไซน์ของเครื่องชงกาแฟและแคปซูลที่แตกต่างไปจากรุ่นที่ใช้สำหรับชงกาแฟที่บ้าน โดยเพื่อน ๆ สามารถค้นหาข้อมูลได้เพิ่มเติมหน้า เว็บไซต์ Nespresso นี้หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 1800 019 090 โทรฟรี และให้บริการทุกวันเลยค่ะ
แต่หากเพื่อน ๆ อยากเริ่มต้นเส้นทางบาริสต้าด้วยเครื่องชงขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย และได้รสชาติกาแฟคุณภาพระดับมืออาชีพ เราแนะนำเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลรุ่น Pixie และเครื่องทำเมนูกาแฟ Barista ของ Nespresso
ซึ่่งใช้งานง่ายเพียงแค่ปลายนิ่วสัมผัสกดปุ่มก็จะได้กาแฟคุณภาพคับแก้วพร้อมเสริฟ และที่สำคัญคือ Nespresso มีกาแฟแคปซูลหลากหลายรสชาติ จากแหล่งเพาะปลูกคุณภาพต่างๆ ทั่วโลก ให้เพื่อนๆ ได้ลิ้มรส ไปพร้อมๆ กับทำความเข้าใจรสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ในภูมิภาคต่างๆ
เพื่อนๆ จะสามารถเลือกรังสรรค์เมนูในร้านกาแฟของตัวเองได้หลากหลาย สนุก ไม่น่าเบื่อ อีกทั้งยังสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ทั้งสำหรับเจ้าของร้านหรือพนักงงานที่เป็นมือใหม่หัดชงกาแฟเองด้วย
ถ้าเพื่อน ๆ สนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมหรืออยากสัมผัสการใช้งานจริง สามารถแวะไปสอบถามพนักงานที่หน้าร้าน Nespresso ทั้ง 9 สาขาที่สะดวกเดินทางได้นะคะ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.nespresso.com เพื่อดูโปรโมชั่นพิเศษและรายละเอียดผลิตภัณฑ์ทั้งหมด พร้อมบริการจัดส่งฟรีถึงบ้านเมื่อสั่งซื้อออนไลน์ เริ่มต้นเส้นทางบาริสต้าของคุณวันนี้ กับ Nespresso ที่จะทำให้การชงกาแฟที่บ้านเป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าที่เคย
บทความถูกเขียนโดย
คุณพิม เนสเพรสโซนาโนบูติก เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่