18 ประโยชน์ของกาแฟดำ ที่คอกาแฟดำ และสายรักสุขภาพห้ามพลาด
กาแฟไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่ปลุกเราให้ตื่นยามเช้า แต่ยังเป็นหนึ่งในอาหารและเครื่องดื่มที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดลึกซึ้งถึงผลกระทบต่อสุขภาพ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การดื่มกาแฟดำในปริมาณที่พอเหมาะ ประมาณ 3-5 แก้วต่อวันอย่างสม่ำเสมอ สามารถมอบประโยชน์อันหลากหลายต่อสุขภาพ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างสมดุลให้แก่ร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน

กาแฟดำคืออะไร?
กาแฟดำ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ Black Coffee คือหนึ่งในเมนูกาแฟพื้นฐานที่ยืนหยัดความนิยมมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง เป็นเครื่องดื่มที่ได้จากการสกัดเมล็ดกาแฟคั่วให้ได้รสชาติเข้มข้นในรูปแบบเอสเพรสโซ่เอสเปรสโซ ซึ่งหัวใจสำคัญของกาแฟดำคือการคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของรสชาติ ผู้ดื่มสามารถเลือกดื่มได้ 2 แบบคือ ดื่มเอสเปรสโซ่ช็อตแบบเพียว โดยไม่เติมน้ำตาล นม หรือครีมใดๆ เพื่อสัมผัสถึงความเข้มข้นอย่างเต็มที่ หรือจะเติมน้ำร้อนเพิ่มเล็กน้อยเพื่อเจือจางความเข้มลงก็ได้ตามความชอบส่วนบุคคล
จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟดำ คือการรักษารสชาติและกลิ่นดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง ทำให้คอกาแฟสามารถดื่มด่ำกับบุคลิกเฉพาะตัวของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวจากผลไม้ ความหอมของดอกไม้ หรือกลิ่นอายของถั่วและช็อกโกแลต
แม้จะดูเป็นเครื่องดื่มที่เรียบง่าย แต่กาแฟดำกลับมีเสน่ห์ที่ทำให้ยังคงเป็นที่ครองใจคอกาแฟทั่วโลก ด้วยความเข้ม ลึก และขม ที่เป็นเอกลักษณ์ กาแฟดำจึงไม่ใช่แค่เพียงเครื่องดื่ม แต่เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงผ่านประสาทสัมผัสการลิ้มรส
ความแตกต่างระหว่าง “กาแฟดำ” และ “อเมริกาโน่”
แม้ทั้ง กาแฟดำ (Black Coffee) และ อเมริกาโน่ (Americano) จะดูคล้ายกันตรงที่ไม่มีนมหรือน้ำตาลผสม และให้รสเข้มข้นของกาแฟแท้ ๆ แต่ทั้งสองชนิดมีจุดเด่นและวิธีการชงที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟอย่างชัดเจน
| หัวข้อเปรียบเทียบ | กาแฟดำ (Black Coffee / Drip Coffee) | อเมริกาโน่ (Americano) |
|---|---|---|
| วิธีชง | ใช้วิธีดริปหรือกรองน้ำร้อนผ่านผงกาแฟบดหยาบ เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นออกมาอย่างช้า ๆ | ใช้เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (หรือมากกว่า) ผสมน้ำร้อนให้เจือจางลง |
| ลักษณะกาแฟ | น้ำกาแฟใสกว่า เนื้อสัมผัสเบา รสชาติเข้มจากการสกัดยาวนาน | เนื้อกาแฟเข้มข้นกว่าเล็กน้อย มีกลิ่นหอมจากเอสเพรสโซ่ แต่รสไม่หนักเท่าช็อตเพียว |
| รสชาติ | เข้ม ลึก ขมเล็กน้อยตามธรรมชาติของเมล็ดกาแฟ | รสละมุนกว่า มีความนุ่มและกลมกล่อม ปลายลิ้นอาจมีความหวานนิด ๆ |
| เมล็ดกาแฟที่ใช้ | ใช้เมล็ดคั่วกลางถึงคั่วเข้ม บดหยาบเพื่อให้เหมาะกับการดริป | ใช้เมล็ดคั่วเข้ม บดละเอียด เหมาะสำหรับการชงเอสเพรสโซ่ |
| ปริมาณคาเฟอีน | โดยทั่วไปคาเฟอีนสูงกว่า เนื่องจากใช้น้ำมากและสกัดนาน | คาเฟอีนน้อยกว่าเล็กน้อย เพราะใช้เอสเพรสโซ่ที่เจือจางด้วยน้ำร้อน |
| เหมาะกับใคร | คนที่ชอบรสเข้มข้นและต้องการลิ้มรสแท้ของกาแฟ | ผู้ที่เริ่มดื่มกาแฟดำ หรือชอบกาแฟรสเบาลื่น ดื่มง่าย |
| เครื่องชงที่ใช้ | เครื่องดริป, เครื่องกรอง, หรือเฟรนช์เพรส | เครื่องเอสเพรสโซ่เป็นหลัก |
สรุปคือ กาแฟดำ ให้รสเข้มและกลิ่นที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟได้ชัดเจน ส่วน อเมริกาโน่ จะให้รสละมุนและดื่มง่ายกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเข้าสู่โลกของกาแฟดำหรือชอบกาแฟที่ไม่ขมจนเกินไป
ทำไมกาแฟดำถึงนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ?
การดื่มกาแฟดำมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิด ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องเซลล์และส่งเสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย วันนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงประโยชน์ของกาแฟดำที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้!
18 ประโยชน์ของกาแฟดำ มีอะไรบ้าง?
1. กาแฟดำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
การดื่มกาแฟดำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายให้ดียิ่งขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมเหล่าฟิตเนสเทรนเนอร์ถึงแนะนำให้คุณดื่มก่อนออกกำลังกาย เพราะจะช่วยเพิ่มระดับอะดรีนาลีนในเลือด ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายอึดทนต่อการออกกำลังกายที่หนักได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
2. กาแฟดำช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี
ตับคืออวัยวะสำคัญที่มีบทบาทหลากหลายในการทำงานของร่างกาย และคุณทราบหรือไม่ว่า กาแฟดำมีส่วนช่วยในการปกป้องตับได้อย่างน่าทึ่ง สามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ, ไวรัสตับอักเสบ, ลดไขมันสะสมในตับ รวมถึงลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งที่เกิดจากการดื่มสุราได้อีกด้วย
งานวิจัยยังเผยว่า 80% ของผู้ที่ดื่มกาแฟดำ 4 แก้วขึ้นไปต่อวัน มีอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวกับตับต่ำกว่าผู้ที่ไม่ดื่มอย่างเห็นได้ชัด นอกจากคุณประโยชน์ต่อตับแล้ว การดื่มกาแฟดำ 2 แก้วเป็นประจำทุกวันยังช่วยให้รู้สึกมีความสุข และลดภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย
หากคุณกำลังมองหากาแฟดำรสชาตินุ่มละมุน ไม่ว่าจะเป็นแบบร้อนหรือเย็น เราขอแนะนำกาแฟแคปซูลรสชาติ Cosi, Volluto, Capriccio, Nicaragua และ India ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่รักกาแฟรสชาตินุ่มละมุน ลองค้นหากาแฟที่เหมาะกับสไตล์ของคุณได้เลย
3. กาแฟดำช่วยลดความเครียด
ในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด กาแฟดำสามารถเป็นเสมือนเพื่อนที่ช่วยดูแลสุขภาพใจของคุณได้ การดื่มกาแฟช่วยให้อารมณ์คงที่ กระตุ้นระบบประสาท และเพิ่มการสร้างโดพามีน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและจัดการกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น

4. กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน
ไม่ว่าจะเป็นกาแฟที่มีคาเฟอีนหรือกาแฟดีแคฟที่สกัดคาเฟอีนออก กาแฟดำก็มีคุณประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน เพราะมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มการสร้างอินซูลิน สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงคาเฟอีน เราขอแนะนำกาแฟดีแคฟ เช่น Volluto Decaffeinato, Arpeggio Decaffeinato และ Ristretto Decaffeinato ที่สกัดคาเฟอีนออก เพื่อให้คุณเพลิดเพลินกับกาแฟแก้วโปรดได้ตลอดวัน ค้นหากาแฟดีแคฟชนิดแคปซูลที่ใช่สำหรับคุณได้เลย
5. กาแฟดำช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน
หากคุณกำลังมองหาวิธีช่วยลดน้ำหนัก หรือกำลังสงสัยว่า กาแฟดําลดความอ้วน กินตอนไหน การดื่มกาแฟดำเพียง 30 นาทีก่อนออกกำลังกายจะช่วยให้คุณออกกำลังกายได้นานขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 50% นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้ส่งสัญญาณไปยังร่างกายเพื่อสลายเซลล์ไขมันและดึงมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้การลดน้ำหนักของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
6. กาแฟดำอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
กาแฟดำไม่ได้มีแค่กลิ่นหอมกรุ่น แต่ยังเปรียบเสมือนวิตามินแคปซูลธรรมชาติที่อัดแน่นด้วยวิตามิน B2, B3, B5 และแร่ธาตุสำคัญอย่างแมงกานีส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ซึ่งทำงานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

7. กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลการศึกษาชี้ว่าการดื่มกาแฟดำเพียง 1-2 แก้วต่อวัน ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะสารในเมล็ดกาแฟจะช่วยควบคุมระดับไขมันเลว ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งตัว และลดการอักเสบภายในเซลล์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหัวใจทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังรักษาโรคหัวใจอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เป็นหลัก และจำไว้เสมอว่าการดื่มมากเกินไปอาจให้ผลเสียได้
8. กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งบางชนิด
กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทวารหนัก เนื่องจากสารในกาแฟดำมีส่วนช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดเซลล์ร้าย
จากข้อมูลล่าสุดของโครงการ Monographs โดยสำนักงานกลุ่มงานวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (IARC) ระบุชัดเจนว่า ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่ากาแฟมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็ง ตรงกันข้าม ข้อมูลทางระบาดวิทยาล่าสุดในวงการวิทยาศาสตร์กลับเห็นพ้องต้องกันว่า การบริโภคกาแฟอาจมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงโดยรวมที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของมะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่

9. กาแฟดำช่วยเพิ่มความจำ
อีกหนึ่งประโยชน์ของกาแฟดำที่คุณอาจยังไม่รู้ คือกาแฟดำไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มยามเช้า แต่ยังเป็นขุมทรัพย์สำหรับสมอง! ด้วยสารกระตุ้นจิตประสาทอันทรงพลัง กาแฟดำจะช่วยปลุกเร้าพลังงาน, เพิ่มพูนความสามารถในการจดจำ, และส่งเสริมความเฉลียวฉลาดให้กับคุณ
10. กาแฟดำช่วยดีท็อกซ์ระบบทางเดินปัสสาวะ
สัมผัสความสะอาดจากภายในสู่ภายนอกด้วยกาแฟดำ เครื่องดื่มมหัศจรรย์นี้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยชะล้างแบคทีเรียและสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11. กาแฟดำช่วยคงความอ่อนเยาว์ ชะลอวัย
เคล็ดลับสู่ความอ่อนเยาว์และชีวิตที่ยืนยาวอยู่ในแก้วกาแฟของคุณ! เพราะการดื่มกาแฟดำโดยไม่เติมน้ำตาลจะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายและจิตใจ
12. กาแฟดำช่วยป้องกันโรคพาร์กินสัน
สถาบันการแพทย์อเมริกาทำการวิจัยและพบว่า คาเฟอีนในกาแฟมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคพาร์กินสันได้ถึง 25% เพียงดื่มวันละ 2-3 แก้วเป็นประจำทุกวัน

13. กาแฟดำเป็นเกราะป้องกันโรคเกาต์
จากงานวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟดำมากกว่า 4 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงโรคเกาต์ได้ถึง 57% เพราะกาแฟดำช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกาย และยังบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคเกาต์ได้อีกด้วย
14. ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน G-CSF
กาแฟดำอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน G-CSF ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กาแฟดำไม่สามารถใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์ได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
15. กาแฟดำช่วยป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด ควรดื่มกาแฟดำอย่างน้อยวันละ 4 แก้ว และการดื่มกาแฟดำถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
16. กาแฟดำช่วยป้องกันโรคหอบ
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด แต่มีงานวิจัยชี้ว่ากาแฟดำอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ในบางคนได้ โดยเฉพาะจากคุณสมบัติที่ช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ ทั้งนี้ ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ความกังวลหรือนอนไม่หลับ

17. กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
กาแฟดำอาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง! เพราะการดื่มกาแฟดำสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
18. กาแฟดำช่วยลดอาการเมาค้างและปวดศีรษะ
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการเมาค้างและปวดศีรษะ กาแฟดำอาจเป็นทางออก! คาเฟอีนในกาแฟดำช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและขยายหลอดเลือด ทำให้ร่างกายตื่นตัวและระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ได้รับพลังงานและควบคุมการทำงานของระบบประสาทได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แนะนำให้ดื่มกาแฟดำที่ประมาณ 250 มิลลิกรัมของคาเฟอีนต่อวัน (เทียบเท่ากาแฟประมาณ 2 แก้ว)
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล คุณควรพิจารณาจากปัจจัยด้านสุขภาพและความไวต่อคาเฟอีนของตัวเองเป็นหลัก

กินกาแฟดำอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ?
1. ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอดีเป็นหัวใจสำคัญสำหรับสุขภาพที่ดี โดยทั่วไปปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวันไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟดำประมาณ 2-4 แก้ว (ขนาด 8 ออนซ์ต่อแก้ว) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อความปลอดภัย
2. หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลและครีมเทียม
เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด ควรดื่มกาแฟโดยไม่เติมน้ำตาลและครีมเทียม เพราะการเพิ่มสิ่งเหล่านี้เป็นการเพิ่มแคลอรีโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ หากคุณต้องการรสหวาน ลองพิจารณาสารให้ความหวานจากธรรมชาติอย่างหญ้าหวาน (Stevia) แทน
3. ดื่มกาแฟหลังอาหาร ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร ควรดื่มกาแฟหลังรับประทานอาหารประมาณ 30-60 นาที การดื่มกาแฟขณะท้องว่างอาจทำให้คาเฟอีนไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่อาการแสบร้อนกลางอกหรือกระเพาะอักเสบได้
4. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟช่วงบ่ายและเย็น
คาเฟอีนส่งผลต่อระบบประสาทโดยตรง การดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือเย็นอาจรบกวนการนอนหลับของคุณ ทำให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท หากคุณยังอยากดื่มกาแฟในช่วงเวลาดังกล่าว ลองเลือกกาแฟดีแคฟ (Decaf) หรือกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำแทน
5. เลือกกาแฟคุณภาพดี และวิธีชงที่เหมาะสม
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเลือกดื่มกาแฟดำออร์แกนิก หรือกาแฟคั่วบดสดใหม่ ที่ปราศจากสารเคมีตกค้าง และหลีกเลี่ยงกาแฟสำเร็จรูปซึ่งมักมีสารกันเสียและน้ำตาลแฝงอยู่ การเลือกวิธีชงที่เหมาะสม เช่น AeroPress, Drip, Pour-over หรือ French Press จะช่วยลดปริมาณสารที่อาจเพิ่มคอเลสเตอรอลในร่างกายได้

6. ดื่มน้ำเปล่าควบคู่กันไป
กาแฟมีคุณสมบัติขับปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและป้องกันภาวะขาดน้ำ คุณควรดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปกับกาแฟเสมอ
7. เติมเครื่องเทศหรือไขมันดีในกาแฟเพื่อเพิ่มประโยชน์
ยกระดับกาแฟของคุณให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้นด้วยการเติมส่วนผสมเหล่านี้:
- 1. อบเชย (Cinnamon): ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มกลิ่นหอมชวนดื่ม
- 2. โกโก้ (Cacao): อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสมองและหัวใจ
- 3. น้ำมันมะพร้าว หรือ เนยใส (Ghee): ช่วยให้ร่างกายนำไขมันดีไปใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาลได้ดีขึ้น
8. เลือกดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำ
สำหรับผู้ที่มีภาวะ "ไวต่อคาเฟอีน" (Caffeine Sensitivity) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการใจสั่น มือสั่น หรือปวดศีรษะ การเลือกกาแฟกาแฟ Decaf หรือ กาแฟ Cold Brew ที่มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่า จะช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับกาแฟได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
9. ดื่มกาแฟพร้อมอาหารที่มีโปรตีนและไขมันดี
การดื่มกาแฟควบคู่ไปกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน (เช่น ไข่หรือถั่ว) หรือไขมันดี (เช่น อะโวคาโดหรือน้ำมันมะพร้าว) จะช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่ยาวนานขึ้น และยังช่วยลดผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
10. ฟังร่างกายตัวเอง และปรับตามความเหมาะสม
สิ่งสำคัญที่สุดคือการฟังเสียงร่างกายของคุณเอง หากคุณดื่มกาแฟแล้วมีอาการใจสั่น ปวดหัว หรือรู้สึกวิตกกังวล ควรลดปริมาณการดื่มลง บางคนอาจต้องจำกัดปริมาณกาแฟเพียง 1-2 แก้วต่อวัน เพื่อให้ร่างกายสามารถรับมือได้ดีที่สุด
หากดื่มกาแฟดำอย่างถูกต้อง ก็สามารถได้รับประโยชน์ของกาแฟดำสูงสุดโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

ใครควรระมัดระวังการดื่มกาแฟ
แม้ว่ากาแฟดำจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่บางกลุ่มคนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากคาเฟอีนอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ดังนี้:
1. ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
คาเฟอีนสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราวได้ ผู้ที่มีปัญหานี้จึงควรจำกัดปริมาณหรือเลือกดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำ
2. ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหารหรือกรดไหลย้อน (GERD)
คาเฟอีนและกรดในกาแฟอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการแสบร้อนกลางอกหรือกรดไหลย้อนแย่ลง
3. หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
คาเฟอีนสามารถส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์และน้ำนมได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารก องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้จำกัดปริมาณไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน
4. ผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับหรือโรคนอนไม่หลับ
คาเฟอีนสามารถรบกวนวงจรการนอนหลับ ทำให้หลับยากหรือหลับไม่สนิทได้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือเย็น
5. ผู้ที่มีภาวะวิตกกังวลหรือโรคแพนิค
คาเฟอีนอาจกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและกระตุ้นอาการวิตกกังวล
6. เด็กเล็กและวัยรุ่น
คาเฟอีนอาจส่งผลต่อพัฒนาการของสมองและพฤติกรรม เช่น ทำให้กระวนกระวายหรือสมาธิสั้นได้
7. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไต
ในบางกรณี คาเฟอีนอาจส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญของตับ และอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
8. ผู้ที่แพ้หรือไวต่อคาเฟอีน (Caffeine Sensitivity)
แม้จะดื่มกาแฟเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดอาการใจสั่น วิงเวียน หรือปวดศีรษะได้
หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรดื่มกาแฟอย่างระมัดระวัง หรือปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสม
จากประโยชน์ของกาแฟดำทั้งหมดที่กล่าวมาคงช่วยทำให้คนที่คิดว่าจะเริ่มดื่มกาแฟดีไหมตัดสินใจได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน โดยคุณสามารถลิ้มลองรสชาติของกาแฟดำคุณภาพจากหลากหลายสายพันธุ์ทั่วโลก พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับกาแฟได้ที่ Nespresso Boutique ทุกสาขา
ขอบคุณข้อมูลจาก:
- EFSA 4102, 2015
- Monograph เล่ม 116: Coffee, maté and very hot beverages (2016), NCBI
- World Cancer Research Fund / American Institute for Cancer Research (WCRF/AICR)
- การศึกษาเบื้องต้น (NHANES II, 1970–80s, สหรัฐฯ), PubMed
- BDMS Wellness
- Mahidol Pharmacy Knowledge Article