Skip to content
Header
You are on the main content


ระดับความเข้มของกาแฟ ระดับการคั่วกาแฟ ส่งผลต่อรสชาติยังไง



ระดับความเข้มของกาแฟ ระดับการคั่วกาแฟ ส่งผลต่อรสชาติยังไง

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มดื่มกาแฟหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าระดับการคั่วกาแฟแต่ละระดับต่างกันอย่างไร ส่งผลต่อระดับความเข้มของกาแฟหรือไม่ เพื่อไม่ให้สับสน เราได้รวบรวมคู่มือเกี่ยวกับการคั่วกาแฟต่าง ๆ และระดับความเข้มของกาแฟมาให้รู้จักกัน





การคั่วเมล็ดกาแฟและระดับความเข้มของกาแฟ คืออะไร


การคั่วเมล็ดกาแฟ คือกระบวนการเปลี่ยนเมล็ดกาแฟดิบ ให้กลายเป็นเมล็ดกาแฟที่พร้อมสำหรับการชง เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง และยังมีผลต่อระดับความเข้มของกาแฟ รสสัมผัสของกาแฟทุกแก้วที่ทุกคนดื่ม หลายคนอาจไม่ทราบว่าเมล็ดกาแฟนั้นเป็นผลผลิตจากพืชในแหล่งเพาะปลูกกาแฟอันสวยงามทั่วโลก


เมื่อแรกเก็บเกี่ยว เมล็ดกาแฟที่ได้จากผลเชอรี่กาแฟนั้นมีสีเขียว รูปร่างละม้ายผักชนิดหนึ่ง และแทบไม่มีรสชาติ ต่างกับเมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้มที่เรารู้จักและโปรดปรานโดยสิ้นเชิง ขั้นตอนการคั่วและระดับการคั่วกาแฟจะช่วยดึงศักยภาพของเมล็ดกาแฟดิบ พร้อมแปลงโฉมไปสู่เมล็ดกาแฟที่เปี่ยมไปด้วยรสชาติและความอร่อย



ระดับการคั่วกาแฟแบบไหนเข้มที่สุด


การคั่วกาแฟเป็นขั้นตอนสำคัญที่กำหนดทั้งกลิ่น รสชาติ และความเข้มของกาแฟแต่ละแก้ว หลายคนอาจสงสัยว่ากาแฟที่ดื่มอยู่ทุกวันนั้นผ่านการคั่วในระดับใด และระดับไหนกันแน่ที่ให้รสเข้มข้นที่สุด การเข้าใจความแตกต่างของระดับการคั่วจึงช่วยให้เลือกกาแฟได้ตรงกับรสนิยมมากขึ้น ทั้งในด้านความหอม ความขม และความเปรี้ยวของเมล็ดแต่ละแบบ



ระดับการคั่วกาแฟ การคั่วอ่อน

1. การคั่วอ่อน


การคั่วอ่อนใช้เวลาสั้นที่สุด ทำให้ยังคงลักษณะตามธรรมชาติของเมล็ดกาแฟไว้ได้ นอกจากนี้ กาแฟคั่วอ่อนยังมีปริมาณคาเฟอีนสูงสุดเมื่อเทียบกับการคั่วประเภทอื่น เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนมีสีน้ำตาลอ่อนและแทบจะไม่มีมีน้ำมันเคลือบผิว โดยระดับความเข้มของกาแฟและรสชาติที่ได้จะเด่นไปทางเปรี้ยวและมีกลิ่นแบบธัญพืช


  • ลักษณะ: เมล็ดกาแฟมีสีอ่อน ผิวแห้ง ไม่มันเงา
  • รสชาติ: มีรสเปรี้ยวชัดเจน กลิ่นหอมแบบดอกไม้และผลไม้ รสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟยังคงอยู่
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการชงแบบฟิลเตอร์หรือดริป โดยเฉพาะกับเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง


ระดับการคั่วกาแฟ การคั่วอ่อนปานกลาง

2. การคั่วอ่อนปานกลาง


หากคั่วอ่อนเกินไปแล้วรู้สึกว่าเปรี้ยวจนเกินไป แต่คั่วกลางก็ดูจะเข้มไปอีก การคั่วอ่อนปานกลางจึงเป็นจุดที่หลายคนลงตัว เมล็ดจะถูกคั่วจนได้ยินเสียงแตกเบาๆ ที่เรียกว่า "First Crack" ซึ่งเป็นจุดที่น้ำในเมล็ดเริ่มระเหยออก เหมือนเวลาเราได้ยินเสียงข้าวโพดคั่วเริ่มแตกในหม้อนั่นแหละ! ช่วงนี้น้ำตาลในเมล็ดเริ่มคาราเมลไลซ์ ทำให้ความหวานเริ่มโผล่มา แต่ยังคงความสดใสของกรดผลไม้ไว้ได้พอประมาณ คอกาแฟมือใหม่มักจะเริ่มชอบระดับนี้มากกว่าคั่วอ่อนเพราะดื่มง่ายกว่า


  • ลักษณะ: เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลที่เข้มขึ้นกว่าคั่วอ่อนเล็กน้อย แต่ยังไม่มีน้ำมันเคลือบผิวมากนัก
  • รสชาติ: ยังคงมีความเปรี้ยวอยู่ แต่เริ่มมีความหวานและกลิ่นหอมที่ชัดเจนมากขึ้น เริ่มมีความสมดุลระหว่างความเปรี้ยวและความหวาน
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการชงแบบฟิลเตอร์หรือดริปเช่นกัน เป็นระดับการคั่วที่นิยมสำหรับกาแฟจากแอฟริกาและอเมริกากลาง


3. การคั่วกลาง


เมล็ดกาแฟซึ่งผ่านการคั่วที่นานขึ้นจะมีรสชาติที่กลมกล่อมและหอมอร่อยยิ่งขึ้น โดยเมล็ดจะยังไม่ค่อยมีน้ำมันเคลือบผิวคล้ายกับชนิดคั่วอ่อน แต่จะมีสีน้ำตาลที่เข้มขึ้น ทั้งนี้ระดับความเข้มของกาแฟและรสชาติจะเข้มข้นกลมกล่อมและมีรสชาติที่หอมหวานขึ้น


  • ลักษณะ: เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง อาจเริ่มมีน้ำมันเคลือบผิวเล็กน้อย
  • รสชาติ: มีความสมดุลระหว่างความเปรี้ยวและความหวาน เริ่มมีกลิ่นหอมของคาราเมลและช็อกโกแลต รสชาติกลมกล่อม
  • การใช้งาน: นิยมใช้ในการชงกาแฟหลากหลายวิธี เป็นระดับการคั่วที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกา


ระดับการคั่วกาแฟ การคั่วเข้มปานกลาง

4. การคั่วเข้มปานกลาง


มาถึงจุดที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนแล้ว การคั่วเข้มปานกลางคือช่วงที่เมล็ดกาแฟผ่านการคั่วจนเริ่ม "Second Crack" หรือเสียงแตกครั้งที่สอง ที่จุดนี้น้ำมันธรรมชาติจากข้างในเมล็ดเริ่มซึมออกมาที่ผิว คล้ายๆ กับเวลาเราทอดขนมจนมีน้ำมันซึมออกมานั่นแหละ นักคั่วต้องคอยควบคุมความร้อนอย่างระมัดระวัง เพราะเพียงไม่กี่วินาทีรสชาติก็เปลี่ยนได้แล้ว ระดับการคั่วนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวอิตาเลียนและสเปน เพราะให้ความเข้มข้นที่ดีแต่ยังคงความซับซ้อนของรสชาติบางส่วนไว้ได้


  • ลักษณะ: เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มและเริ่มมีน้ำมันเคลือบผิวชัดเจน
  • รสชาติ: ความเปรี้ยวลดลง รสชาติขมเริ่มชัดเจนขึ้น กลิ่นหอมของคาราเมลและช็อกโกแลตชัดเจน เริ่มมีกลิ่นควันและรสถั่วเล็กน้อย
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการชงแบบเอสเปรสโซ่ นิยมใช้ในประเทศแถบยุโรปใต้อย่างอิตาลีและฝรั่งเศส


5 การคั่วเข้ม


ตามที่ทุกคนคาด กาแฟคั่วเข้มมีสีน้ำตาลเข้มเหมือนช็อกโกแลต และผิวสัมผัสมักมีน้ำมันเคลือบอยู่ เนื่องจากใช้เวลาในการคั่วนานที่สุด เมล็ดกาแฟอาจสูญเสียรสชาติดั้งเดิมแต่ระดับความเข้มของกาแฟจะมีรสขมและมีกลิ่นควันที่ขัดขึ้น


  • ลักษณะ: เมล็ดกาแฟมีสีเกือบดำและมีน้ำมันเคลือบผิวมาก
  • รสชาติ: มีรสขมเข้มชัดเจน เผ็ดร้อน กลิ่นควัน กลิ่นคาราเมลไหม้และช็อกโกแลตขม รสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟแทบไม่เหลืออยู่
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับเอสเปรสโซ่เข้มข้น กาแฟแบบอิตาเลียนดั้งเดิม และกาแฟผสมนมที่ต้องการให้รสชาติกาแฟแทรกผ่านรสนมได้


ตารางเปรียบเทียบระดับการคั่วกาแฟ


การเลือกระดับการคั่วกาแฟเป็นสิ่งที่มีผลอย่างมากต่อรสชาติและกลิ่นของกาแฟในถ้วยหนึ่ง ๆ เพราะแต่ละระดับการคั่วจะดึงเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟออกมาแตกต่างกัน ทั้งในด้านความหอม ความเปรี้ยว และความเข้มข้น สำหรับคอกาแฟที่อยากเข้าใจว่าระดับการคั่วแบบไหนเหมาะกับตนเอง หรืออยากรู้ว่าระดับใดให้รสเข้มที่สุด การเปรียบเทียบระดับการคั่วในตารางต่อไปนี้จะช่วยให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน



ระดับการคั่ว ลักษณะ รสชาติ การใช้งาน
การคั่วอ่อน เมล็ดกาแฟมีสีอ่อน ผิวแห้ง ไม่มันเงา มีรสเปรี้ยวชัดเจน กลิ่นหอมแบบดอกไม้และผลไม้ รสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟยังคงอยู่ เหมาะสำหรับการชงแบบฟิลเตอร์หรือดริป โดยเฉพาะกับเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง
การคั่วอ่อนปานกลาง เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลที่เข้มขึ้นกว่าคั่วอ่อนเล็กน้อย แต่ยังไม่มีน้ำมันเคลือบผิวมากนัก ยังคงมีความเปรี้ยวอยู่ แต่เริ่มมีความหวานและกลิ่นหอมที่ชัดเจนมากขึ้น เริ่มมีความสมดุลระหว่างความเปรี้ยวและความหวาน เหมาะสำหรับการชงแบบฟิลเตอร์หรือดริปเช่นกัน เป็นระดับการคั่วที่นิยมสำหรับกาแฟจากแอฟริกาและอเมริกากลาง
การคั่วกลาง เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง อาจเริ่มมีน้ำมันเคลือบผิวเล็กน้อย มีความสมดุลระหว่างความเปรี้ยวและความหวาน เริ่มมีกลิ่นหอมของคาราเมลและช็อกโกแลต รสชาติกลมกล่อม นิยมใช้ในการชงกาแฟหลากหลายวิธี เป็นระดับการคั่วที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกา
การคั่วเข้มปานกลาง เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มและเริ่มมีน้ำมันเคลือบผิวชัดเจน ความเปรี้ยวลดลง รสชาติขมเริ่มชัดเจนขึ้น กลิ่นหอมของคาราเมลและช็อกโกแลตชัดเจน เริ่มมีกลิ่นควันและรสถั่วเล็กน้อย เหมาะสำหรับการชงแบบเอสเปรสโซ่ นิยมใช้ในประเทศแถบยุโรปใต้อย่างอิตาลีและฝรั่งเศส
การคั่วเข้ม เมล็ดกาแฟมีสีเกือบดำและมีน้ำมันเคลือบผิวมาก มีรสขมเข้มชัดเจน เผ็ดร้อน กลิ่นควัน กลิ่นคาราเมลไหม้และช็อกโกแลตขม รสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟแทบไม่เหลืออยู่ เหมาะสำหรับเอสเปรสโซ่เข้มข้น กาแฟแบบอิตาเลียนดั้งเดิม และกาแฟผสมนมที่ต้องการให้รสชาติกาแฟแทรกผ่านรสนมได้


ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มของกาแฟมีอะไรบ้าง


ความเข้มของกาแฟไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การคั่วเท่านั้น แต่เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ตั้งแต่ชนิดของเมล็ดไปจนถึงวิธีการชงและอัตราส่วนกาแฟต่อน้ำ



1. การคั่ว


การคั่วคือปัจจัยหลักที่กำหนดระดับความเข้มของกาแฟ ยิ่งคั่วเข้ม สีของเมล็ดยิ่งคล้ำ กลิ่นและรสยิ่งเข้ม และความขมจะเด่นขึ้น

การคั่วมีผลทั้งเรื่องรสชาติ กลิ่น และบุคลิกของกาแฟโดยรวม โดยเฉพาะความเข้มและความหนักแน่นของรสชาติ



2. ชนิดของเมล็ดกาแฟ


แม้ว่าระดับการคั่วจะมีผลมากที่สุด แต่ชนิดของเมล็ดก็มีบทบาทสำคัญ อาราบิก้าเป็นสายพันธุ์ที่ให้รสชาติหลากหลายและละเอียดอ่อน ทั้งความหวาน เปรี้ยว และกลิ่นผลไม้ พร้อมระดับคาเฟอีนที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรสชาติซับซ้อน ในทางตรงกันข้าม โรบัสต้ามีคาเฟอีนสูงกว่า ให้รสเข้ม ขมเด่น และบอดี้หนัก จึงมักถูกใช้ในกาแฟผสมหรือสูตรที่ต้องการความเข้มแบบเต็มแรง



3. วิธีการชง


เทคนิคในการชงส่งผลต่อการสกัดรสชาติจากเมล็ดกาแฟโดยตรง การสกัดด้วยแรงดันสูง เช่น เอสเปรสโซจะให้กาแฟที่เข้มข้นและหนักแน่นเพราะสารละลายถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็วและเข้มข้น ในขณะที่การชงแบบที่ใช้น้ำมากหรือเวลาสกัดนาน เช่น Drip หรือ French Press จะให้รสชาติที่นุ่มละมุนและโปร่งกว่า ทำให้เราได้สัมผัสรายละเอียดของกาแฟในอีกมิติหนึ่ง



4. ปริมาณกาแฟและน้ำ


อัตราส่วนของกาแฟต่อน้ำเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถควบคุมได้ง่ายและส่งผลอย่างชัดเจน ยิ่งใช้กาแฟมากต่อน้ำปริมาณเท่าเดิม รสชาติก็จะเข้มและชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น เอสเปรสโซใช้อัตราส่วนกาแฟต่อปริมาณน้ำที่เข้มข้นมาก ทำให้ได้รสชาติหนักแน่นที่สุด ในขณะที่ดริปมักใช้อัตราส่วนประมาณ 1:15 หรือมากกว่า ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและซับซ้อนกว่า การปรับสัดส่วนนี้จึงเป็นวิธีที่ดีในการปรับความเข้ม



วิธีเลือกระดับการคั่วกาแฟอย่างไรให้เหมาะกับสไตล์การดื่มของตัวเอง


  1. - กาแฟคั่วอ่อน เหมาะสำหรับการทำกาแฟร้อน หรือจะเลือกดื่มเป็นอเมริกาโน่ก็ได้เช่นกัน
  2. - กาแฟคั่วกลาง เหมาะสำหรับการทำกาแฟร้อนและเย็น ในกรณีที่ทำกาแฟร้อนจะมีความเปรี้ยวน้อยกว่าระดับคั่วอ่อน เมื่อนำมาทำกาแฟเย็นรสชาติจะเข้มข้นแต่ไม่เท่าระดับคั่วเข้ม
  3. - กาแฟคั่วเข้ม เหมาะสำหรับทำกาแฟเย็นที่ต้องการรสชาติที่เข้มข้น หรือต้องการเนื้อสัมผัสของกาแฟมากเป็นพิเศษ สามารถนำมานำเมนูกาแฟใส่นมได้ เช่น กาแฟ Dirty กาแฟลาเต้ กาแฟคาปูชิโน่ เป็นต้น


ขั้นตอนการคั่วกาแฟขั้นพื้นฐาน มีอะไรบ้าง


  1. 1. ก่อนการคั่ว ต้องสกัดเมล็ดกาแฟจากผลเชอรี่กาแฟซึงประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ หลายชั้น ส่วนกาแฟสกัดจากเมล็ดกาแฟที่อยู่ตรงกลางเท่านั้น (โดยทั่วไป แต่ละผลจะมีเมล็ดกาแฟอยู่สองเมล็ด)
  2. 2. ก่อนคั่วเมล็ดกาแฟ ต้องผ่านขั้นตอนการเตรียมที่พิเศษ ซึ่งสามารถทำได้โดยผ่านกระบวนการแบบเปียกหรือกระบวนการตามธรรมชาติ
    • - กระบวนการแบบแห้งตามธรรมชาติ เป็นวิธีการแปรรูปกาแฟที่เก่าแก่ที่สุด โดยจะต้องทำความสะอาดผลกาแฟทั้งลูกหลังจากเก็บเกี่ยวก่อน แล้วจึงนำไปตากแดดให้แห้งบนโต๊ะหรือเกลี่ยให้กระจายบนลานตาก
    • - กระบวนการตามธรรมชาติ/แบบแห้ง เมื่อเมล็ดแห้งแล้วในผลเชอรี่กาแฟ หลังจากเก็บผลเชอรี่กาแฟแล้ว ต้องกะเทาะเปลือกออกภายใน 24 ชั่วโมง หากผ่านไป 24 ชั่วโมงโดยไม่ได้กะเทาะเปลือกออก อาจทำให้มีรสชาติบูดเปรี้ยวทำลายคุณภาพของกาแฟได้
    • - กระบวนการแบบเปียก คือการทำให้เมล็ดกาแฟแห้งโดยไม่มีผลเชอรี่กาแฟ กะเทาะเปลือกแล้วจึงหมักตามปกติ เพื่อช่วยในการแยกเพคตินที่เหลือออกจากเมล็ดและกะลา จากนั้นจะล้างและทำความสะอาดเมล็ดกาแฟก่อนนำไปตากให้แห้ง
  3. 3. เตรียมเครื่องคั่วและเมล็ดกาแฟที่ต้องการจะคั่ว
  4. 4. นำเมล็ดกาแฟใส่ในเครื่องคั่ว ปรับระดับความร้อนที่ต้องการจะคั่วอาจจะเริ่มต้นใช้ไฟระดับปานกลาง
  5. 5. สังเกตเมล็ดกาแฟเมื่อสีเริ่มซีดแล้ว ให้เร่งไฟให้แรงขึ้น และเปิดพัดลมตาม
  6. 6. คั่วไปเรื่อย ๆ จนเมล็ดกาแฟเริ่ม Crack และต่อด้วยการคั่วด้วยไฟอ่อน ๆเพื่อป้องกันเมล็ดกาแฟไหม้ เมื่อเมล็ดกาแฟ Crack หรือปริแตกตามที่ต้องการ สามารถปล่อยเมล็ดกาแฟลงสู่ถัง Cooling พร้อมนำไปบดเพื่อชงดื่ม


เริ่มต้นการคั่วกาแฟ อย่างไรบ้าง


การคั่วกาแฟเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและต้องใช้เวลาในการฝึกฝนและเรียนรู้ นักคั่วกาแฟที่มีความเชี่ยวชาญสามารถอ่านได้ขาดว่าเมล็ดกาแฟแต่ละชุดต้องใช้ระดับการคั่วกาแฟและเวลาเท่าไหร่ในการคั่วเพื่อดึงรสชาติและเอกลักษณ์


เมล็ดกาแฟชั้นเลิศอาจสูญเปล่าได้ในไม่กี่วินาทีหากนักคั่วกาแฟขาดทักษะ การคั่วกาแฟและระดับการคั่วกาแฟจึงเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเรื่องลักษณะของเมล็ดกาแฟ เช่น ปริมาณน้ำตาล โปรตีน ความเป็นกรด ฯลฯ


เมื่อเริ่มต้นการคั่ว เมล็ดกาแฟดิบจะผ่านระบบทำความร้อน เมื่อถูกความร้อนสูงเมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวไปสู่สีเหลือง และสีน้ำตาลเฉดต่าง ๆ กัน โดยทั่วไป การคั่วอ่อนจะใช้อุณหภูมิระหว่าง 180-205 องศาเซลเซียส ส่วนการคั่วกลางจะอยู่ที่ 210-230 องศาเซลเซียส และ 240-250 องศาเซลเซียสสำหรับการคั่วเข้ม



เทคนิคการคั่วกาแฟให้หอม อร่อยมีอะไรบ้าง


การคั่วกาแฟไม่ใช่แค่การนำเมล็ดมาให้ความร้อนเท่านั้น แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยทั้งเทคนิค ความชำนาญ และความเข้าใจในธรรมชาติของเมล็ดกาแฟ เพื่อปลดปล่อยรสชาติและกลิ่นหอมที่ซ่อนอยู่ให้ออกมาอย่างเต็มที่ นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณคั่วกาแฟได้อย่างมืออาชีพ



1. เริ่มต้นที่เมล็ดกาแฟคุณภาพดี


เมล็ดกาแฟที่สดใหม่ ไม่มีร่องรอยความเสียหาย จะเป็นพื้นฐานสำคัญของกาแฟที่อร่อย เลือกเมล็ดที่มีการเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และรู้ที่มาที่ไป จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ



2. ควบคุมอุณหภูมิ


การควบคุมอุณหภูมิคือหัวใจสำคัญของการคั่วอุณหภูมิที่เหมาะสมและการปรับเพิ่มลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้เมล็ดกาแฟเผยรสชาติและกลิ่นที่ซับซ้อนออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ร้อนเกินไปกาแฟจะไหม้ ต่ำเกินไปก็ไม่ได้รสชาติที่ต้องการ



3. เวลาในการคั่ว


การคั่วกาแฟใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับระดับการคั่วที่คุณต้องการ คล้ายกับการอบขนมที่ต้องจับเวลาให้พอดี ไม่เช่นนั้นอาจได้กาแฟที่รสชาติขมเกินไปหรือยังไม่ได้ที่ การจับเวลาที่แม่นยำจะช่วยให้คุณสามารถทำซ้ำสูตรที่ประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง



4. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของเมล็ดกาแฟ


ระหว่างการคั่ว เมล็ดกาแฟจะเล่าเรื่องราวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทั้งสีที่เข้มขึ้น การขยายตัว และเสียงแตกที่เกิดขึ้น 2 ครั้งสำคัญ ฟังเสียง "First Crack" ที่คล้ายเสียงป๊อปคอร์นแตก ซึ่งบ่งบอกว่าคุณเข้าสู่การคั่วระดับอ่อน และ "Second Crack" ที่บอกว่ากำลังเข้าสู่ระดับคั่วเข้ม การฝึกสังเกตเหล่านี้จะทำให้คุณรู้จังหวะที่เหมาะสมในการหยุดคั่ว



5. การระบายความร้อนทันทีหลังคั่ว


เมื่อเมล็ดถึงระดับการคั่วที่ต้องการแล้ว ต้องรีบระบายความร้อนทันที เหมือนกับการแช่ไข่ต้มในน้ำเย็นเพื่อหยุดการสุก การระบายความร้อนจะช่วยหยุดกระบวนการคั่วและรักษารสชาติที่ต้องการไว้ได้ อย่าปล่อยให้เมล็ดยังร้อนระอุในภาชนะ เพราะความร้อนตกค้างอาจทำให้เมล็ดคั่วเกินไป



6. การเก็บรักษาที่ถูกต้อง


หลังจากคั่วเสร็จ การเก็บรักษาก็สำคัญไม่แพ้กัน เก็บเมล็ดในภาชนะที่ปิดสนิท ห่างจากแสงแดด ความชื้น และกลิ่นแรงต่างๆ เพื่อรักษาความสดและกลิ่นหอมให้อยู่นานที่สุด เหมือนการเก็บไวน์ที่ต้องใส่ใจสภาพแวดล้อม



7. ทดลองและพัฒนาต่อเนื่อง


การคั่วกาแฟคือการเดินทางแห่งการค้นพบที่ไม่มีวันสิ้นสุด อย่ากลัวที่จะทดลองและปรับเปลี่ยน บันทึกผลลัพธ์ทุกครั้งที่คั่ว เพื่อเรียนรู้และพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง แต่ละเมล็ดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การค้นพบสูตรที่ใช่อาจต้องใช้เวลาและความอดทน



8. การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม


เครื่องคั่วที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและเวลาได้อย่างแม่นยำจะช่วยให้การคั่วกาแฟง่ายขึ้นมาก แม้ว่าการลงทุนอาจสูงในตอนแรก แต่เครื่องมือคุณภาพดีจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น และสนุกกับการคั่วกาแฟมากขึ้นด้วย


การคั่วกาแฟเป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความใส่ใจในรายละเอียด เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานและเริ่มพัฒนาสัมผัสของตัวเอง คุณจะสามารถสร้างสรรค์กาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร และนั่นคือความมหัศจรรย์ของการคั่วกาแฟด้วยตัวเอง



เมนูต่าง ๆ กับระดับความเข้มของกาแฟ มีอะไรบ้าง


กาแฟแต่ละเมนูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านกลิ่น รสชาติ และระดับความเข้มที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากวิธีการชงและระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟ สำหรับคนรักกาแฟ การเข้าใจระดับความเข้มของแต่ละเมนูจะช่วยให้เลือกเครื่องดื่มที่ตรงกับรสนิยมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะชอบกาแฟเข้มข้นดุดัน หรือนุ่มละมุนดื่มง่าย ตารางต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นความแตกต่างของเมนูกาแฟยอดนิยมตามระดับความเข้ม



Espresso

1. เอสเปรสโซ


พบการผสมผสานรสชาติและกลิ่นที่หลากหลายในรูปแบบที่กลมกล่อม อ่อนนุ่ม และเข้ากันอย่างลงตัว ของกาแฟดำแคปซูลสูตร กาแฟเอสเพรสโซ่ (Espresso) เหมาะสำหรับดื่มในแก้วขนาด 40 มล. (Espresso) ได้แก่ กาแฟแคปซูล Capriccio, Volluto, Volluto Decaffeinato และCosi



อเมริกาโน

2. อเมริกาโน


กาแฟอเมริกาโน่ คือกาแฟที่เกิดจากการชงกาแฟดำ 25 มล. แล้วเติมน้ำร้อนอีก 125 มล. ทำให้ได้รสชาติที่นุ่มนวลและดื่มง่าย เพราะเป็นการ ลดความเข้มและรสขมของกาแฟเอสเพรสโซ่ลง ในขณะที่ยังคงความเป็นตัวตนเอาไว้



คาปูชิโน

3. คาปูชิโน่


คาปูชิโนเป็นเครื่องดื่มแบบต้นตำรับของอิตาลีที่มักจะทำจากนมไอศกรีมและเอสเพรสโซ่ในสัดส่วน 1:1 โดยเติมฟองนมขึ้นไปด้านบนเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยและสวยงาม



มอคค่า

4. มอคค่า


กาแฟ ช็อกโกแลต นม ยังมีอะไรอีกไหม? จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลย เพราะว่ากาแฟมอคค่าเป็นสิ่งที่คุณต้องการทั้งหมดเพื่อทำการผสมผสานของโกโก้และฟองนม และคุณยังสามารถเพิ่มผงอบเชยบนส่วนบนได้ด้วย



ลาเต้

5. ลาเต้


กาแฟลาเต้ คือ หนึ่งในกาแฟแบบดั้งเดิม โดยประกอบไปด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่และนมสด พร้อมด้วยฟองนมที่หอมมันนุ่มละมุน โดยคุณสามารถวาดลวดลายลงบนฟองนมได้ หรือที่เรียกกันว่า ลาเต้อาร์ต เพื่อเป็นการตกแต่งให้กาแฟลาเต้ดูน่าลิ้มรสมากยิ่งขึ้น



ริสตเร็ตโต้

6. ริสตเร็ตโต้


เป็นกาแฟที่มีระดับความเข้มสูงสุด เมื่อเทียบกับเอสเปรสโซ่ทั่วไป โดยการชง Ristretto จะใช้กาแฟบดละเอียดและน้ำร้อนในปริมาณที่น้อย ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอมที่ชัดเจน โดยมักจะมีรสชาติที่หวานกว่า



ตารางเปรียบเทียบระดับความเข้มของเมนูกาแฟ


ระดับความเข้มของกาแฟในแต่ละเมนูเป็นสิ่งที่สะท้อนเอกลักษณ์และรสนิยมของผู้ดื่มได้อย่างชัดเจน บางเมนูให้รสเข้มข้นแน่นลึก ในขณะที่บางเมนูมีความละมุน ดื่มง่าย และหอมมันจากนม การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เลือกกาแฟได้ตรงใจมากขึ้น ตารางต่อไปนี้จะแสดงการเปรียบเทียบระดับความเข้มของเมนูกาแฟยอดนิยม



ลำดับความเข้ม เมนูกาแฟ ส่วนประกอบ ลักษณะเด่น
1 ริสตเร็ตโต้ (Ristretto) กาแฟบดละเอียด + น้ำร้อนปริมาณน้อย รสชาติเข้มข้นที่สุด กลิ่นหอมชัดเจน มีรสหวานกว่าเอสเปรสโซ่
2 เอสเปรสโซ (Espresso) กาแฟสกัดด้วยแรงดันสูง 40 มล. รสชาติกลมกล่อม อ่อนนุ่ม เข้ากันอย่างลงตัว
3 อเมริกาโน (Americano) เอสเปรสโซ่ 25 มล. + น้ำร้อน 125 มล. รสชาตินุ่มนวลและดื่มง่าย ความเข้มและรสขมลดลง
4 คาปูชิโน่ (Cappuccino) เอสเปรสโซ่ + นมไอศกรีม (1:1) + ฟองนม รสชาติกลมกล่อมจากนม มีฟองนมหนานุ่ม
5 ลาเต้ (Latte) เอสเปรสโซ่ + นมสด + ฟองนม นมมากกว่าคาปูชิโน่ หอมมันนุ่มละมุน เหมาะสำหรับลาเต้อาร์ต
6 มอคค่า (Mocha) เอสเปรสโซ่ + ช็อกโกแลต + นม + ฟองนม รสหวานจากช็อกโกแลต รสชาติกาแฟอ่อนที่สุด


เพื่อค้นหาระดับการคั่วกาแฟที่โปรดปราน ต้องอาศัยการทดลองชิม คุณอาจชื่นชอบกาแฟคั่วเข้มรสชาติหนักแน่นในกาแฟแฟลตไวท์ยามเช้า หรืออยากแวะจิบกาแฟลุงโก้คั่วอ่อนในยามบ่าย บางคนอาจชอบรสชาติดั้งเดิมของกาแฟคั่วอ่อนหรือรสขมของกาแฟคั่วเข้ม หรือหากเลือกไม่ได้ก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับกาแฟคั่วกลางที่ผสานข้อดีของทั้งสองประเภทไว้ได้


ชื่อเสียงของวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศไทยเป็นที่เลื่องลือ เห็นได้ชัดจากเมนูกาแฟยาวเหยียดที่คุณเลือกสรรได้ตามร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารทั่วไป ทั้งคาปูชิโน่ ลาเต้ ลองแบล็ค ชอร์ตแบล็ค เอสเพรสโซ่ มัคคิอาโต้ลองแบล็ค พิกโคโล่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ยังไม่นับถึงตัวเลือกของนมที่หลากหลาย อย่างนมสด นมพร่องมันเนย นมอัลมอนด์ นมแลคโตสฟรี นมมะพร้าว และเมนูอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะแบบไหน ประเทศไทยเรามีให้คุณเลือกทั้งหมด


เป็นอย่างไรกันบ้างกับระดับการคั่วกาแฟในรูปแบบต่าง ๆ หวังว่าเนื้อหานี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเมนูกาแฟได้ง่ายขึ้นไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ระดับการคั่วกาแฟเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล และวิธีเดียวที่คุณจะเลือกกาแฟแก้วโปรดได้ นั่นก็คือการลองลิ้มชิมรสกาแฟที่หลากหลายนั่นเอง


พร้อมที่จะค้นหากาแฟแก้วโปรดของคุณหรือยัง



คำถามที่พบบ่อย

กาแฟคั่วเข้มมีคาเฟอีนมากกว่ากาแฟคั่วอ่อนจริงหรือ?
ไม่จริง กาแฟคั่วอ่อนมีคาเฟอีนมากกว่า เพราะการคั่วนานจะทำลายคาเฟอีนบางส่วน แต่รสชาติของกาแฟคั่วเข้มจะเข้มข้นและขมกว่า
ควรเก็บเมล็ดกาแฟคั่วแล้วอย่างไร?
เก็บในภาชนะปิดสนิท ห่างจากแสงแดด ความชื้น และกลิ่นแรง ควรใช้ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังคั่วเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด
ทำไมกาแฟคั่วอ่อนถึงมีรสเปรี้ยว?
เพราะการคั่วอ่อนยังคงรักษากรดธรรมชาติจากเมล็ดกาแฟไว้ได้มาก ซึ่งให้รสเปรี้ยวสดชื่นคล้ายผลไม้ ยิ่งคั่วนานความเปรี้ยวจะลดลง
การคั่วกาแฟที่บ้านยากไหม?
เริ่มต้นไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ควรมีเครื่องคั่วที่ควบคุมอุณหภูมิได้ และต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเมล็ดอย่างใกล้ชิด
กาแฟคั่วระดับไหนเหมาะกับมือใหม่?
แนะนำเริ่มที่การคั่วกลางหรือคั่วอ่อนปานกลาง เพราะให้รสชาติสมดุล ดื่มง่าย และมีโอกาสผิดพลาดน้อยกว่าการคั่วเข้ม