Skip to content
Header
You are on the main content


Specialty Coffee คืออะไร ทำไมถึงเป็นกาแฟคุณภาพพรีเมี่ยม



Specialty Coffee คืออะไร ทำไมถึงเป็นกาแฟคุณภาพพรีเมี่ยม

Specialty Coffee แค่ชื่อก็ฟังดูพิเศษแล้ว ยิ่งถ้าบอกว่ากาแฟชนิดนี้ต้องผ่านกรรมวิธีบ่มเพาะอย่างไรมาบ้าง ก่อนจะเสิร์ฟอยู่ในแก้ว เชื่อแน่ว่าหลายคนจะต้องอยากสัมผัสความพิเศษของกาแฟตัวนี้ในทันที

Specialty Coffee กำลังเป็นกระแสที่มาแรงอย่างมากในบ้านเรา คอกาแฟไทยเริ่มรู้จักและต้องการสัมผัสรสชาติของ Specialty Coffee แม้จะต้องจ่ายแพงกว่ากาแฟปกติ ทว่าในแง่ของรสสัมผัสและกลิ่นหอม เหล่าคนรักกาแฟต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้มค่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดของไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน Specialty Coffee มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือราว 10% ของตลาดกาแฟทั้งหมด



Specialty Coffee คือกาแฟชนิดพิเศษที่มีรสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

Specialty Coffee คืออะไร


Specialty Coffee คือกาแฟชนิดพิเศษ ที่พิเศษมาตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก โดยเกษตรกรผู้ปลูกจะคัดเลือกกาแฟสายพันธุ์ดี ปลูกอย่างพิถีพิถันในระดับความสูงที่เหมาะสม ดินที่ดี และสภาพอากาศที่เอื้อต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟ เพื่อให้ได้กาแฟเกรด Specialty ที่มีรสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ก่อนส่งมอบให้กับผู้ขายกาแฟหรือโรงคั่ว การนำเมล็ดกาแฟไปคั่วก็ต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพในการดึงจุดเด่นของเมล็ดกาแฟออกมาให้ได้มากที่สุด และในขั้นตอนการชง บาริสต้าที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะสามารถรังสรรค์เมนู Specialty Coffee ออกมาให้พิเศษยิ่งขึ้น


แต่ใช่ว่ากาแฟที่ปรุงอย่างประณีตทุกแก้วจะเป็น Specialty ได้ เพราะจะต้องผ่านมาตรฐานการรับรองของสมาคมกาแฟพิเศษแห่งสหรัฐอเมริกา (SCA) มีกระบวนการคัดสรรจากผู้ตรวจสอบคุณภาพที่เชี่ยวชาญ เรียกว่า Cupper หรือ Q – Grader ที่จะพิจารณาตั้งแต่กระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟ การทดสอบคุณภาพ กลิ่น และรสชาติ กาแฟที่ได้คะแนนตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไปเท่านั้นจึงจัดว่าเป็น Specialty Coffee



จุดเริ่มต้นของ Specialty Coffee


การดื่มกาแฟเกรดพรีเมียมไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการกาแฟ ย้อนไปเมื่อช่วงปี 1900 โรงแรม Hotel du Crillon ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จะคัดสรรกาแฟชั้นเยี่ยมเท่านั้นมาให้บริการลูกค้า ซึ่งพวกเขาเลือกใช้กาแฟจากแหล่งปลูกพิเศษในประเทศกัวเตมาลา ก่อนที่คำว่า Specialty Coffee จะถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1970 โดย Tea and Coffee Trade Journal พร้อมกับวัฒนธรรมการละเลียดกาแฟ แทนที่ความนิยมดื่มแบบสะดวกรวดเร็ว



เกณฑ์การวัด Specialty Coffee มีอะไรบ้าง




Specialty Coffee คือกาแฟชนิดพิเศษที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 10 ข้อ

Specialty Coffee คือกาแฟชนิดพิเศษที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 10 ข้อจากสมาคมกาแฟพิเศษแห่งสหรัฐอเมริกา ที่มีทั้งการประเมินลักษณะทางกายภาพจากการชิมโดยผู้เชี่ยวชาญ และการประเมินคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ดังนี้


  • 1.Fragrance / Aroma กลิ่นหอมของกาแฟ โดยดูจากผงกาแฟบดไว้ไม่นานเกิน 15 นาที และกลิ่นหอมที่สัมผัสได้เมื่อเทน้ำร้อนลงยังผงกาแฟเป็นเวลา 3 – 4 นาที
  • 2. Flavor รสสัมผัสเมื่อซดกาแฟเข้าปาก ควรรับรสและกลิ่นได้ 8 – 10 นาที โดยเริ่มนับจากเทน้ำร้อนที่อุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส จนกาแฟเข้าปาก
  • 3. Aftertaste การรับกลิ่นและรสชาติของกาแฟที่ยังอบอวลอยู่ในลมหายใจ ควรมีระยะเวลา 8 – 10 นาที
  • 4. Acidity ความเป็นกรดของกาแฟ ทั้งในแง่คุณภาพและความเข้มข้นของกรด ควรอยู่ในระยะเวลา 10 – 12 นาที
  • 5. Body คือการประเมินเนื้อสัมผัสโดยใช้ความรู้สึกระหว่างส่วนกลางของลิ้นกับเพดานปากเมื่อน้ำกาแฟไหลเข้าปาก ต้องประเมินทั้งในแง่คุณภาพและความเข้มข้นเช่นกัน โดยระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 10 – 12 นาที
  • 6. Balance ความสมดุลระหว่าง Flavor, Aftertaste, Acidity และ Body ระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 10 – 12 นาที
  • 7. Uniformity ความไม่แตกต่างกัน ประเมินจากการแบ่งกาแฟออกเป็น 5 แก้ว แล้วดูว่าแก้วใดที่มีลักษณะต่างจากแก้วอื่น ก็จะถูกตัดคะแนนออกแก้วละ 2 คะแนน โดยเริ่มประเมินตั้งแต่นาทีที่ 20 ขึ้นไป
  • 8. Clean cup ความสะอาดบริสุทธิ์ของเมล็ดกาแฟ หรือความเพอร์เฟ็กต์ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป และการจัดเก็บก่อนนำไปคั่ว แก้วที่มีกลิ่นหรือรสไม่พึงประสงค์จะถูกตัดคะแนนออก โดยเริ่มประเมินตั้งแต่นาทีที่ 20 ขึ้นไป
  • 9. Sweetness ความหวานจากแป้งในเมล็ดกาแฟที่ถูกกระตุ้นด้วยความร้อนจนเป็นน้ำตาล แก้วที่บกพร่อง เปรี้ยวฝาด หรือมี "Green Flavor" จะถูกตัดคะแนนออก โดยเริ่มประเมินตั้งแต่นาทีที่ 20 ขึ้นไป
  • Overall การประเมินภาพรวมทั้งหมดของกาแฟ รวมถึงความประทับใจส่วนตัวของผู้ชิม


สำหรับการให้คะแนนรวม จะมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งคุณภาพออกเป็นหลายระดับดังนี้


Outstanding Grade >> 90-100 คะแนน
Excellent Grade >> 85-89.99 คะแนน
Very Good Grade >> 80-84.99 คะแนน

ส่วนกาแฟที่มีคะแนนต่ำกว่า 80 คะแนน เรียกว่า Below Specialty Quality และไม่ถือเป็น Specialty Coffee



Specialty Coffee ต่างจากกาแฟทั่วไปอย่างไร


กาแฟที่จำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดส่วนมากจะเรียกว่าเป็น Commercial Grade ซึ่งจะแตกต่างจาก Specialty Coffee อยู่มาก ทั้งในแง่คุณภาพโดยรวม รสชาติที่ซับซ้อนกว่า และเมล็ดกาแฟจะเป็นสายพันธุ์อาราบิกาเท่านั้น ขณะที่กาแฟทั่วไปอาจมีการผสมเมล็ดกาแฟอาราบิกาและโรบัสต้า ส่วนการดื่ม Specialty Coffee จะนิยมดื่มเป็นกาแฟดำร้อนที่ผ่านการดริป เพื่อดึงเอารสสัมผัสของกาแฟออกมาให้มากที่สุด ไม่นิยมนำไปผสมนมและน้ำตาลเพื่อเติมแต่งรสชาติ


หากจะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกาแฟทั่วไปและ Specialty Coffee สามารถสรุปได้จากตารางต่อไปนี้


หัวข้อ กาแฟทั่วไป Specialty Coffee
พื้นที่ปลูก ปลูกได้ตามไร่กาแฟทั่วไป ปลูกบนพื้นที่เหมาะสม และควบคุมเรื่องสารเคมี
สายพันธุ์ มีทั้งเมล็ดกาแฟอาราบิกาและโรบัสต้า เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิกาเท่านั้น
กลิ่นและรสชาติ กลิ่นและรสชาติมาตรฐาน ใกล้เคียงกันตามท้องตลาด กลิ่นและรสชาติที่ซับซ้อน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การชงและดื่ม ชงดื่มหลายรูปแบบ ปรุงรสชาติได้ตามชอบ นิยมดื่มแบบกาแฟดริปร้อน
จุดเน้น เน้นความสะดวก ดื่มง่าย ชงง่าย เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการชง
ระดับการคั่ว มีทั้งกาแฟคั่วอ่อน และคั่วเข้ม เป็นกาแฟคั่วอ่อนที่รักษารสชาติของกาแฟเอาไว้


ทำไม Specialty Coffee ถึงมาแรงในประเทศไทย?


ตลาดกาแฟพิเศษในไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2019 มีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของตลาดกาแฟทั้งหมด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะคนไทยยุคใหม่หันมาใส่ใจเรื่องคุณภาพและประสบการณ์การดื่มกาแฟมากขึ้น


คนไทยจำนวนมากยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับการเลือกไวน์หรืออาหารคุณภาพสูง พวกเขาเริ่มสนใจที่มาของเมล็ดกาแฟ กระบวนการปลูกและแปรรูป รวมถึงวิธีการคั่วและชงที่แตกต่างกัน


ความนิยมนี้ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยในภาคเหนือและภาคใต้พัฒนาสายพันธุ์และเทคนิคการผลิตให้ได้กาแฟคุณภาพสูง ขณะที่บาริสต้าไทยก็พัฒนาฝีมือจนได้รับรางวัลการแข่งขันระดับนานาชาติ


อีกปัจจัยสำคัญคือวัฒนธรรมคาเฟ่ที่เฟื่องฟูในสังคมไทย ร้านกาแฟสไตล์ Specialty ไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่ม แต่มอบประสบการณ์ทั้งด้านรสชาติ บรรยากาศ และการเรียนรู้เรื่องกาแฟไปพร้อมกัน กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความแตกต่างจากร้านกาแฟเชนทั่วไป


สื่อสังคมออนไลน์ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ความรู้เรื่องกาแฟแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งอยากลองและยินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อกาแฟคุณภาพสูง วงจรนี้ผลักดันให้ Specialty Coffee เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย



Specialty Coffee ที่แท้จริงจะต้องได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น

Specialty Coffee หาดื่มได้จากที่ไหน


เนื่องจาก Specialty Coffee ที่แท้จริงจะต้องได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น ทำให้หาดื่มทั่วไปได้ยาก หากต้องการชิม Specialty Coffee ได้อย่างหลากหลาย แนะนำให้ชิมจากเทศกาลกาแฟอย่าง Thailand Coffee Fest ร้านกาแฟที่มีการการันตีคุณภาพ และจำหน่าย Specialty Coffee หรือง่ายกว่านั้น เพียงมองหากาแฟแคปซูลระดับพรีเมียม ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟเกรด Specialty Coffee ก็จะได้เพลิดเพลินกับความพิเศษของรสชาติได้ง่ายๆ ที่บ้าน



Specialty Coffee รสชาติเป็นอย่างไร?


ถ้าคุณเพิ่งจะลองดื่ม Specialty Coffee เป็นครั้งแรก เตรียมเปิดใจให้กว้างกับประสบการณ์ใหม่ที่อาจแตกต่างจากกาแฟที่คุณคุ้นเคย กาแฟระดับพิเศษนี้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยเหตุผลหลักคือการคั่วแบบอ่อน (Light Roast) เพื่อรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆ ให้ได้มากที่สุด


กาแฟพิเศษจากแต่ละแหล่งมีรสชาติที่แตกต่างกันอย่างน่าทึ่ง เช่น กาแฟจากเอธิโอเปีย มักจะให้กลิ่นหอมฟรุ้งฟริ้งคล้ายดอกไม้ที่ชัดเจน ส่วนบราซิลจะโดดเด่นด้วยความหวานหอมคล้ายคาราเมลและน้ำตาลไหม้


พูดถึงกาแฟระดับตำนานอย่าง Panama Geisha ที่มีความซับซ้อนลึกซึ้ง ราคาของมันทำเอาตกใจได้เลย เมล็ดจากไร่ Lamastus Family Estate ปี 2019 มีราคาสูงถึงเกือบกิโลกรัมละ 100,000 บาท! ถ้าเจอในร้านกาแฟ แก้วเดียวอาจมีราคา 300-500 บาท (ยกเว้น Lamastus ที่แทบไม่มีร้านไหนในไทยนำมาขาย แต่ผมโชคดีได้ชิมจากเพื่อนนักคั่ว รสชาติของมันแทบไม่เหมือนกาแฟทั่วไปเลย – หอมฟุ้งติดปากติดจมูก มีความเปรี้ยวคล้ายเบอร์รี่สีเข้ม คาแรกเตอร์เหมือนไวน์แดง พร้อมกลิ่นอื่นๆ อีกมากมายที่บรรยายไม่หมด)


สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ กาแฟพิเศษมักจะมีรสเปรี้ยว (acidity) ที่โดดเด่นกว่ากาแฟทั่วไปเนื่องจากการคั่วอ่อน ซึ่งหลายคนอาจไม่คุ้นเคย ความเปรี้ยวนี้ไม่ใช่ความเปรี้ยวบาดคอแบบน้ำส้มสายชู แต่เป็นความสดชื่นคล้ายผลไม้ที่ให้มิติรสชาติที่น่าสนใจ เหมือนการเรียนรู้ที่จะดื่มไวน์หรือวิสกี้ชั้นดี อาจต้องใช้เวลาฝึกปรือลิ้นสักหน่อยให้คุ้นกับความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่



ประโยชน์ของ Specialty Coffee มีอะไรบ้าง


  1. 1. มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะ Specialty Coffee คือกาแฟแบบคั่วอ่อน หรือ Light Roast ทำให้สารอาหารไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนจนหมด จึงพบทั้งไนอะซิน แมงกานิส ไรโบฟลาวิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
  2. 2. ช่วยดูแลลำไส้ เคยมีการศึกษาพบว่า การดื่มวันละ 4 แก้วจะช่วยเสริมจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวดี ขับถ่ายง่าย ลดอาการท้องผูกได้
  3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านโรคมะเร็ง ต่างจากกาแฟคั่วเข้มในท้องตลาด ที่มีโอกาสเกิดสารก่อมะเร็งจากการคั่วที่เข้มจนเกินไป หรือเกือบไหม้
  4. 3. ปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง ด้วยวิธีการปลูกอย่างเป็นธรรมชาติ ปลอดสารพิษหรือยาฆ่าแมลง และขั้นตอนการผลิตอย่างพิถีพิถันตามเกณฑ์การรับรอง Specialty Coffee ของ SCA
  5. 4. สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับคอกาแฟ ด้วยกลิ่นและรสชาติของ Specialty Coffee ที่หลากหลาย เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์และแหล่งที่ปลูก เช่น กลิ่นโทนดอกไม้ ช็อกโกแลต หรือเครื่องเทศ ทำให้นักชิมกาแฟมีโอกาสค้นหาชนิดของกาแฟที่ตรงใจ และยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในการดื่มกาแฟ


ทิศทางการเติบโตของกาแฟ Specialty Coffee เป็นอย่างไร


ตลาดกาแฟพิเศษในไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ถ้าดูเป็นกราฟ ตอนนี้เส้นกำลังพุ่งขึ้นแบบไม่มีทีท่าว่าจะชะลอ สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนไทยยุคนี้ "ยอมจ่ายแพงขึ้นแลกกับคุณภาพที่ดี"


ตัวเลขยืนยันแนวโน้มนี้ชัดเจน คนไทยดื่มกาแฟมากเป็นอันดับ 7 ของเอเชีย และปริมาณการดื่มก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 180 แก้วต่อคนต่อปี พุ่งขึ้นเป็น 300 แก้วต่อคนต่อปี ไม่แปลกที่ตลาดกาแฟพิเศษถึงเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี


มูลค่าตลาดกาแฟพรีเมียมในไทยตอนนี้อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดย Specialty Coffee ครองส่วนแบ่งถึง 2,000 ล้านบาท หรือ 10% ของตลาดทั้งหมด! ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ไทยยังส่งออกกาแฟเป็นอันดับ 4 ในอาเซียน รองจากมาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซียที่อยู่อันดับ 11 ของโลก


ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเรา? ตอบง่ายๆ คือ "โอกาสเติบโตยังอีกเยอะ" การเติบโตปีละ 10% ไม่ใช่เรื่องเล็ก โจทย์สำคัญต่อไปคือ "ทำอย่างไรให้ Specialty Coffee แบรนด์ไทยตีตลาดอาเซียนได้?"


อาจต้องปรับคาแรกเตอร์ของสายพันธุ์กาแฟให้เข้ากับรสนิยมการดื่มของแต่ละประเทศ หรือสร้างความเข้าใจให้ตลาดต่างประเทศเห็นคุณค่าของกาแฟคุณภาพสูงจากไทยที่ได้คะแนนเกิน 80 คะแนน ทั้งสองแนวทางนี้ล้วนมีความน่าสนใจและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง หากเราวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ


การดื่ม Specialty Coffee สำหรับคอกาแฟเป็นเสมือนการได้ออกผจญภัยในโลกของกาแฟ เพื่อค้นพบรสชาติที่เป็นเลิศจากกาแฟสายพันธุ์พิเศษ สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ขณะเดียวกันก็ยังได้สัมผัสวิถีการดื่มกาแฟที่เหนือกว่ากาแฟแก้วไหนๆ การได้ดื่มสักครั้ง จะทำให้เราหลงอยู่ในโลกของกาแฟที่อบอวลด้วยกลิ่นและรสชาติที่แสนพิเศษ


ลองเปิดประสบการณ์ใหม่กับกาแฟ Specialty Coffee จาก Nespresso ที่คัดสรรเมล็ดพันธุ์คุณภาพจากแหล่งปลูกชั้นนำทั่วโลก ผ่านกระบวนการคั่วที่พิถีพิถัน เพื่อมอบรสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ในทุกแก้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นคอกาแฟมือใหม่หรือผู้หลงใหลกาแฟตัวจริง ก็สามารถดื่มด่ำกับเสน่ห์ของกาแฟระดับพิเศษได้ง่าย ๆ ที่บ้านของคุณเองวันนี้



คำถามที่พบบ่อย


Specialty Coffee ต้องเป็นกาแฟคั่วอ่อนเสมอหรือไม่?
ไม่จำเป็น แต่โดยทั่วไปกาแฟคั่วอ่อนถึงกลางนิยมที่สุด เพราะช่วยรักษาเอกลักษณ์ของรสชาติและกลิ่นดั้งเดิมจากแหล่งปลูก
การชงกาแฟมีผลต่อรสชาติ Specialty Coffee ไหม?
มีผลโดยตรง เครื่องมือ เวลา และอุณหภูมิน้ำล้วนมีผลต่อกลิ่น รส และบอดี้ของกาแฟที่ชงได้
ทำไมคอกาแฟถึงนิยมดื่ม Specialty Coffee แบบดริป?
เพราะการดริปช่วยดึงกลิ่นและรสของเมล็ดกาแฟออกมาอย่างละเอียด โดยไม่กลบด้วยนมหรือน้ำตาล
ทำไมกาแฟ Specialty ถึงมีโน้ตกลิ่นผลไม้หรือดอกไม้ได้?
เพราะเกิดจากสายพันธุ์ เมล็ดสดใหม่ และการคั่วเบา ทำให้สารอะโรมาติกไม่ถูกทำลาย
ดื่ม Specialty Coffee ทุกวันดีไหม?
ดี หากดื่มในปริมาณเหมาะสม วันละ 1–2 แก้ว เพราะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีกรดน้อยกว่ากาแฟเข้มทั่วไป